The Alienist ss2 Netflix The Angel of Darkness

The Alienist ss2 Netflix The Angel of Darkness ในสมัยทศวรรษ 1890 ณ มหานครนิวยอร์ก หนึ่งในเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าในเวลากลางวันจะเป็นนครที่คึกคัก แต่อีกด้านหนึ่งในยามวิกาลกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวของคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ ฆาตกรโรคจิต ฆาตกรต่อเนื่อง ที่มีพฤติกรรมสุดพิสดาร รวมถึงบรรดาผู้คนที่มีความบ้าอยู่ในตัว ทำให้เกิดมีงานของ นักจิตวิปลาส เพื่อเสาะหาว่า พฤติกรรมของคนที่ทำเรื่องเลวร้ายนั้น แท้จริงแล้วมาจากธรรมชาติของคนผู้นั้นหรือเป็นสิ่งที่ครอบครัวและสังคมหล่อหลอมขึ้นมา

ลาซโล ไครส์เลอร์ นักจิตวิปลาส ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จากการช่วยเหลือกรมตำรวจนิวยอร์กและอดีตผู้บัญชาการกรมตำรวจ NYPD คลี่คลายคดีสุดโหดจากฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตที่สังหารบรรดาเด็กผู้ชายขายบริการ โดยร่วมมือกับสมาชิกในทีมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็น จอห์น มัวร์ ชายหนุ่มจากครอบครัวฐานะดีที่มีงานเป็นนักวาดภาพศพ และ ซาร่า ฮาวเวิร์ด เลขาหญิงคนแรกในกรมตำรวจที่มีจิตวิญญาณของตำรวจสืบสวนจากพ่อ ได้ร่วมมือกันสืบสวนคดีจนมีชื่อเสียง

หลังจากนั้น 2 ปี พวกเขาก็ได้กลับมาร่วมมือกันอีกครั้ง เมื่อ ซาร่า ที่ออกมาก่อตั้งสำนักงานนักสืบเอกชนหญิงแห่งแรกในสหรัฐ แล้วได้รับคดีตามหาเด็กหายที่เกี่ยวพันกับการประหารชีวิตหญิงสาวผู้หนึ่งที่เธอเห็นว่าศาลตัดสินผิดพลาด ทำให้ทั้งหมดได้กลับมาร่วมงานสืบสวนกันอีกครั้งในสถานะที่แต่ละคนต่างก็กำลังสร้างชีวิตใหม่ในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

แล้วหากเทียบกับซีซันแรกที่เรื่องราววนเวียนอยู่แค่กับตัวละครลาซโลเป็นหลัก แต่ซีซันสองนี้เรื่องราวมีการปรับเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องครั้งใหญ่ ด้วยการให้ ซาร่า ที่แสดงโดย Dakota Fanning มารับบทเป็นตัวละครนำ แล้วมีตัวละครชายทั้งสองคนเป็นตัวรองตามมา ถือว่าเป็นความกล้าหาญพอสมควร แล้วยังสอดคล้องกับสถานการณ์ที่ตัวละครหญิงในเรื่องต้องการเรียกร้องสิทธิสตรีไปด้วย ดังนั้นนี่จึงเป็นซีรีส์ที่ใส่ความเป็นเฟมินิสต์ เชิดชูพลังหญิงว่าสามารถทำงานได้ไม่แพ้ผู้ชายอย่างเต็มที่ ซึ่งบทของ ซาร่า ฮาวเวิร์ด ในเรื่องนี้เชื่อว่าอ้างอิงมาจากตัวจริงของ Isabella Goodwin นักสืบหญิงคนแรกในนิวยอร์ก

The Alienist ss2ส่วนบทของตัวละครเอกในภาคแรกอย่างลาซโล ที่ภาคนี้กลายมาเป็นตัวรองและในเนื้อเรื่องแล้วเขาก็กลายมาเป็นคนทำหน้าที่สนับสนุนการสืบสวนให้กับซาร่า กลับดูเป็นตัวละครที่น่าเอาใจช่วยมากขึ้น หากเทียบกับภาคแรกที่บทของลาซโลดูไม่น่าเอาใจช่วยเท่าไหร่ คือตัวเรื่องมีความพยายามสูงมากที่จะทำให้ลาซโลเป็นเสมือน เชอร์ล็อก โฮล์ม ฉบับนักจิตวิทยา เพียงแต่ตัวละครนี้และตัวนักแสดงไม่ได้ทำให้คนดูเอาใจช่วยมากนัก ในขณะที่บทของตัวเอกอีกคนอย่าง จอห์น ที่แสดงโดย Luke Evan กลับดูสะดุดตาและชวนให้ลุ้นเอาใจช่วยมากกว่า

ในด้านเทคนิคการสืบสวน เป็นจุดเด่นของเรื่อง แล้วก็เหมือนเป็นแนวทางของซีรีส์ชุดนี้ไปแล้ว ที่จะให้กลุ่มตัวละครที่มีพื้นเพแตกต่างกันมาร่วมทีมสืบสวนกัน มีความขัดแย้งระหว่างกันในแง่ของทัศนคติและแนวคิดต่างๆ จากนั้นก็ร่วมกันสืบสวนเพื่อหาว่า ใครคือคนร้าย และยังมีความพยายามอย่างสูงที่จะหาสาเหตุการกระทำของคนร้ายไปด้วย ว่าพวกเขาลงมือทำเพราะอะไร โดยจะเน้นไปที่สภาพแวดล้อมจากภายนอกที่เป็นปัจจัยบีบคั้นฆาตกรให้ทำเรื่องโหดเหี้ยม ซึ่งในซีซันสองก็ไม่ได้นำเสนอว่าคนร้ายเป็นตัวละครประเภทวางแผนเก่งหรือโหดเหี้ยมอะไรนักหนา แต่เป็นคนที่วิปลาสไปแล้วจากการถูกกระทำของสังคม

แต่เรื่องนี้ก็มีจุดด้อย เช่น การเซตติ้งกลุ่มตัวละครเอกที่ไม่มีคนไหนถนัดด้านบู๊เลย ทั้งๆ ที่การสืบสวนเรื่องนี้มีผสมผสานทั้งแบบใช้สมอง วางแผน ลงมือต่อสู้ แอ็กชั่น แต่ในพาร์ทของตัวละครที่จะรับบทแอ็กชั่นได้ดีไม่มีในกลุ่มตัวเอก กลายเป็นว่าซาร่ากลับต้องมารับบทนี้ ซึ่งทำให้มันดูขัดๆ พอสมควร แล้วก็ทำให้เรื่องนี้ขาดแคลนฉากแอ็กชั่นไปด้วย เพราะเน้นการสืบสวนด้วยการใช้จิตวิทยาและการวิเคราะห์เป็นหลัก

อีกจุดด้อยคือ หากดูซีรีส์สืบสวนมาเยอะๆ จะพบว่าเรื่องนี้มีความพยายามอย่างมากที่จะทำให้ลาซโล เป็นเหมือนกับ เชอร์ล็อก โฮล์ม ซึ่งในซีซันแรกทำไม่สำเร็จไปแล้ว ดังนั้นการที่ซีซันสองเลือกมาดันบทของซาร่าให้เป็นตัวนำแทนจึงเป็นการตัดสินใจที่ดี แถมบุคลิกของ Daniel Bruhl ก็ดูไม่ค่อยเหมาะเป็นตัวเอกนำแต่แรกอยู่แล้วด้วย (Luke Evan ยังดูเหมาะกว่าด้วยซ้ำ)

ระหว่างเรื่องยังมีการสอดแทรกบริบททางประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาและสังคมตะวันตกอยู่ตลอด ทำให้เราได้เห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงในสังคม ซึ่งเป็นยุคสมัยที่ตัวละครโลดแล่นอยู่ในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องสิทธิสตรีมากขึ้น การได้เห็นผู้หญิงออกมาทำงานนอกบ้านมากกว่าจะเป็นแม่บ้านเพิ่ม การที่คนดำกลายเป็นเจ้าของธุรกิจของตนเองในเมืองใหญ่ และแนวทางการทำงานสืบสวนแบบวิทยาศาสตร์ที่มีการนำหลายสาขาเข้ามาช่วย เป็นต้น

ส่วนตอนจบของซีซันสอง เป็นการจบเรื่องในแบบที่ ให้ความหวัง ทั้งกับตัวละครนำ และสังคม ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น รวมถึงการที่สามตัวละครเอกก็จะได้แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของแต่ละคน ซึ่งดูแล้วก็อาจจะไม่ได้มีการสร้างซีซันต่อไป หรือจะสร้างต่อก็ได้เช่นกันครับ

ในภาพรวมแล้ว นี่เป็นซีรีส์แนวสืบสวนที่มีฉากหลังเป็นทศวรรษ 1890 ที่เซตติ้งออกมาได้สมจริง แนวทางการสืบสวนเหมือนเอา เชอร์ล็อก โฮล์ม มาผสมผสานรวมกับแนวสืบสวนหลายเรื่องรวมกัน ซึ่งในซีซันสองจะเน้นเชิดชูพลังหญิงเพิ่มด้วย